วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551

สรุปผลงานวิจัย

ครามเหล็กขูด (ฮ่อม)


คีรีวงชุมชนในเขตภูเขาป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ แหล่งกำเนินสายธาร สวนสมรมเป็นฐานชีวิต ภูมิปัญญาสีธรรมชาติจากใบมังคุด เปลือกลูกเนียง เงาะ ฝักสะตอ ทำให้ชุมชนคีรีวงสำแงตัวตนเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศและต่างประเทศ

งานศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการ การฟื้นฟูภูมิปัญาสีความเหล็กขูด(ฮ่อม)ในงานบาติกคีรีวง พบว่า ต้นฮ่อม พวบมาในแคว้นอัสสมัมประเทศอินเดีย ภาษาถิ่นเรียกว่า รัม (RUM) นับเป็นแปล่งฮ่อมที่ใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย และเป็นสีเดียวที่ยังใช้อยู่ในวิถีของชนพื้นบ้านในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จีน ไทย พม่า ภูฐาน อินเดีย และมาเลเซีย
ในประเทศไทยพบต้นฮ่อมกระจายในเขตหนาวทางภาคเหนือ ในภาคใต้ขณะนี้พบต้นฮ่อมบนเขาหลวง บ้านคีรีวงเพียงแห่งเดียว ชาวบ้านรุ่นปูย่า เรียกว่า ครามเหล็กขูด จากการทดลองขยายพันธ์ โดยวิธีเด็ดกิ่งที่แตกแขนงจากลำต้นนำไปปักลงในดินที่ชุ่มน้ำ มีร่มเงาตลอด เพื่อสังเกตการเจริญเติบโต พบว่าต้นฮ่อมใช้เวลาประมาณ ๔-๕ เดือนจึงแตกพุ่มหนาให้ใบแก่จัด ลำต้นและใบสีเขียวเข้ม พอดีกับการในไปย้อมผ้า

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

เก็บตกศึกษาดูงานขนอม

รวบรวมภาพบรรยากาศ ศึกษาดูงานขนอม 29-27 มกราคม 2551

ด้วยภาระกิจบางประการทำให้ออกเดินทางช้ากว่าชาวคณะ ทำให้พลาดโอกาสดูงานที่กลุ่มแรก แต่ด้วยความเก่งกาจละเมียดละไมของน้องออยได้บรรยายสรุปให้ชาวคณะที่พลาดโอกาสได้รับทราบข้อมูล ม้วนเดียวจบทั้ง สามกลุ่มที่เราได้ศึกษาดูงานกันในครั้งนี้ จึงไม่ขอพูดถึงอีกในบทความนี้ (อิอิ)

มาเริ่มดูบรรยากาศที่กลุ่มบ้านสดชื่นกันดีกว่า สาวเกร่งหัวใจเหล็ก




กลุ่มวิสาหกิจ ผลิตกะปิและน้ำปลา น่าเสียดายที่เราไม่ไดดูกระบวนการผลิตของจริง
แต่อาหารกลางวันที่ทำต้อนรับพวกเราก็อร่อยถูกปากมากค่ะ
ข้อคิดที่ได้จากที่นี่คือ "มากคนมากเรื่อง ไม่ช่วยกันรับผิดชอบ" เอาไปคิดดูเล่น ๆ นะคะ ต่อจากนั้นกลุ่มเด็กหลังห้องประมาณ 5 คน ไม่บอกว่าเป็นใครบ้าง หนังท้องดึงหนังตาก็หย่อน พากันทรรศนาจรมาใต้ต้นส้มโอ สายตาสอดส่องเล็งแล้วเล็งอีก ฝึกวิทยายุทธเกษตรกร ลูกใหนกินได้แล้วหนอ จะหวานไหมหนอ ประจวบกับเด็กหลังห้อง2คน ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยวง เพราะมาไม่ทัน ด้วยพลังจิตอันแรงกล้าทำให้ส้มโอผลหนึ่งตกลงมากลางวง แม้ช่างหวานอร่อย ชื่นใจจริงๆ พวกเด็กหลังจึงพากันอุดหนุนพี่สาวที่ใจดีเจ้าของส้มโอขายให้ลูกละ5 บาท ถูกจริง ๆ



หลังจากดูงานกลุ่มแม่บ้านเกตรกรอ่าวหม่อมวังแล้ว ได้พากันไปดูเจดีย์ปะการัง ฟังดูก็งง ต้องไปดูให้เห็นกับตา


นี่ไง เจดีย์ปะการังจริงๆ เขานำปะการังมาแกะเป็นอิฐ แล้ววางเป็นรูปเจดีย์ ครูรวมได้เป็นมัคคุเทศก์ บอกเล่าเรื่องราวให้พวกเราได้รับรู้ความเป็นมาเป็นไป จากจุดตรงนี้มองไปเห็นวิวทิศทัศน์สวยงาม ของอ่าวท้องเนียน ทำไมถึงเนียน ชาวคณะคงต้องหาคำตอบกันเอง หลังจากนั้นก็เข้าที่พัก "อลงกต" บรรยากาศน่าพักผ่อน มีความเป็นส่วนตัวพอสมควร แต่ไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง ทำไมเครื่องทำน้ำอุ่นจึงอยู่สูงเกินเอื้อม แล้วมันใช้ได้หรือใช้ไม่ได้กันนะ เราพยายามอยู่นานน้ำก็ไม่อุ่นสักกะที ก็พยายามไปงั้นแหละ ที่บ้านก็ไม่มีอาบหรอก555


อาหารเย็นมื้อนี้ ต้อง วอคแลนลี กันนิดหน่อย เดินกินลมชมหาดกันพอกระสัย บรรยากาศดีจริง มีพิธีกรคู่หนุ่มสาวไม่ใช่ใครที่ไหน น้องออยกับ ดร. สวัสดิ์ ช่วยกันขับกล่อมให้พวกเราเจริญอาหารได้ดีทีเดียว ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ข้าวปลาไม่กินไม่เป็นไร ขอให้ได้พูดเพื่อสร้างความบันเทิงแก่พวกเราเขาก็อิ่มแล้ว(ว้าว) บรรยากาศดี ดินเนอร์ใต้แสงดาว แม้ลมจะแรงไปสักหน่อย แต่นักร้องก็พากันสลับสับเปลี่ยนกันขับกล่อมกันอย่างไม่ยอมแพ้ต่อธรรมชาติ


เช้าวันที่ 27 ตื่นมารับอากาศดีๆ ใครไคร่เล่นน้ำก็กระโดดลงไปซะ ใครไคร่เดินก็เดิน ใครไคร่นอนก็นอน เราว่าคลื่นฤดูนี้มันแรงอยู่นะ แต่ไหนๆ ก็มาทะเลแล้วก็เล่นน้ำสักหน่อยเป็นไร อุสาห์ขับรถมาเป็น ร้อยๆกิโล น้ำทะเลที่นี่เค็มใช้ได้เลยยยยย มือเช้าที่ตลาดสี่แยกขนอม แล้วดูงานต่อที่กลุ่มนวดแผนไทย

















การต้อนรับที่นี่อบอุ่น และได้ทึ่งกับการที่เด็กวัยรุ่น เป็นหนุ่ม ๆ อีกต่างหากหันมาสนใจด้านการนวดฝ่าเท้า พี่ที่นวดบอกว่าเป็นวิชาเลือกเด็กผู้ชายเลือกนวดฝ่าเท้า ส่วนเด็กผู้หญิงเลือกวิชาคาราโอเกะ (โอ้!)


ไม่รอช้า สาวๆของเราก็พากันทดสอบฝืมือกันเสียหน่อย

นานาลีลา ของนักพูดมืออาชีพ


อ.สุวรรณี ประธานกลุ่ม



ดร.สวัสด์ อาจารย์ผู้ใจดี ข้าวปลาไม่กินไม่เดือดร้อน



ผอ.สวัสดิ์




พี่หมอประธานรุ่น

การต้อนรับก็อบอุ่น ที่นี่ก็ใจดีเลี้ยงขนมจีนพวกเราอีกอร่อยจริงๆเลย ก่อนจากก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ที่ขนอมมีอะไรดีๆเยอะมีโอกาสคงได้มาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง




หลังจากอิ่มอร่อยกับขนอมจีน เราขอแยกกับชาวคณะขอทดสอบฝีมือมนวดของระดับอาจารย์ที่นี่ดูสักหน่อย ผลปรากฎว่าฝีมือดีมากๆขอบอก ไม่เชื่อมาลองดูได้เลย

มีอยู่กระบวนท่าหนึ่งที่เราร้องจ๊ากกกกก ท่าไหนน่ะไว้มาเล่าต่อนะคะ











































































































































































































































































































































































































































































































































วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2551

ข้ามโขง

เมื่อคนในหุบเขาคีรีวง อยากออกเดินทางไปสู่โลกกว้างๆ บางครั้งคนเราอยู่ที่เดิมซ้ำๆ ก็ทำให้ชีวิตน่าเบื่อได้แบบไม่รู้สาเหตุได้เหมือนกัน โลกนี้ก็ออกกว้างขวาง น่าเสียดายหากจะใช้ชีวิตแบบกบในกะลา เอาละถึงเวลาใจกล้าออกเผชิญโลกกว้างแล้ว หาประสบการณ์ให้ชีวิตดีกว่าเรา




ทำไมต้องเมืองลาว เราก็ไม่รู้ว่าทำไมแต่ลึกๆในใจมันร่ำร้องเหมือนมีแรงดึงดูดจากอีกฟากโขงกระนั้น ทำให้เราอยากไปเมืองลาวสักครั้ง ก็ไหนว่าไทย/ลาวเป็นพี่น้องกัน งั้นก็ไปเยี่ยมเยือนสักครั้งจะเป็นไรไป


จากหุบเขาคีรีวง ข้ามมาเมืองลาวก็มาเจอกับเขา(ภูเขา)อีกแล้ว เส้นทางคดเคี้ยวไม่เบา รถวิ่งไต่เขาตลอดทาง ช่วงวังเวียงไปหลวงพระบาง ระหว่างทางก็เห็นฝรั่งปั่นจักรยานอย่างไม่ย่อท้อ นี่ก็อีกคู่หนึ่งมุ่งมั่นมากเลยเห็นแล้วยังถามตัวเอง ว่าถ้าเป็นเราจะทำได้ไหม(แต่ยังไม่มีคำตอบในใจอิอิ)




เส้นทางคล้ายๆ กับ แม่ฮ่องสอนเหมือนกันนะ ภูเขาเมืองลาวต้นไม้เริ่มหายไปนะเราว่า คิดว่าจะมีต้นไม้มากกว่านี้ซะอีก
วังเวียง บรรยากาศธรรมชาติน่าตกหลุมรักเลยละ แต่บรรยากาศตัวเมืองเริ่มมีสิ่งอำนวยความสะดวกรองรับนักท่องเที่ยวขึ้นมากมาย ร้านอาหารเต็มสองข้างทาง จะหาของพื้นบ้านทานหายากซะจริงเอ้อ ได้อย่างเสียอย่างนี่แหละปัญหาของเมืองท่องเที่ยวส่วนใหญ่





วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

สิ่งที่สนใจศึกษา

ด้านทรัพยากรธรรมชาติในชุมชน นั่นคือ ครามเหล็กขูด เป็นพืชชนิดหนึ่งให้สีครามใช้ในการย้อมผ้า จึงสนใจศึกษาในการทำสีครามจากพืชชนิดนี้เพื่อใช้ในงานบาติกสีธรรมชาติ เพราะงานบาติกเป็นศิลปะซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้ ส่วนครามเหล็กขูดก็เป็นพืชที่อยู่ในชุมชนจึงสนใจศึกษาด้านนี้ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550

บรรยากาศแห่งความสุข


ใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกวันแล้ว รู้สึกว่าบรรยากาศปีใหม่จะลอยมาให้สัมผัสได้ เดือนธันวาคมนี้น่ารักจริง ยิ่งใกล้สิ้นเดือนแบบนี้ เห็นใครจะก็นึกเรื่องของขวัญ การ์ด นึกแต่ส่งดีๆที่จะมองให้กันและกัน เป็นเดือนที่นาอิจฉาที่จะของปีก็ว่าได้เลยค่ะ(ชอบจังเดือนนี้) บรรยากาศก็ครื้นเครง อบอวลไปด้วยความรักและรอยยิ้ม ยังไงก็ขอให้ทุกคนมีความสุข สนุกสนานกับการเลือกของขวัญของที่ระลึกเพื่อมอบแต่คนที่คุณรักนะคะ
กุหลาบขาวจากดอยอ่างขางช่อนี้
ถือเป็น ส.ค.ส. มอบแด่ทุกคนนะคะ มีความสุขมากๆๆๆค่ะ